7 วิธีเลือกประกันรถยนต์ให้ตอบโจทย์ความต้องการ

เชื่อว่าหลายคนที่ตัดสินใจทำประกันรถยนต์ภาคสมัครใจเอาไว้ ก็น่าจะเพื่อความอุ่นใจเวลาที่ต้องขับรถไปไหนมาไหน เพราะไม่ว่าเพื่อน ๆ จะเป็นมือใหม่หัดขับ ขับรถใหม่ป้ายแดง รถเก่า รถราคาแพง หรือรถที่ใช้ขนส่งสินค้าก็ตาม ดังนั้น การเลือกประกันรถยนต์ที่เหมาะสมกับสไตล์การขับขี่จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นนั่นเองค่ะ นอกจากนี้ยังรวมถึงการได้รับสิทธิพิเศษตามโปรโมชันของบริษัทประกันและโบรกเกอร์ประกันภัยด้วยค่ะ

1. พิจารณาสไตล์การขับขี่และการใช้งาน

อันดับแรกอยากให้ลองพิจารณาก่อนค่ะว่า เพื่อน ๆ ใช้รถในแบบใดกันบ้าง เพื่อที่จะเลือกประกันรถยนต์ให้เหมาะสมกับการใช้งานนะคะ ตัวอย่างเช่น

• รถที่ใช้ในเมือง ที่มีรถค่อนข้างเยอะ อย่างในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงตามหัวเมืองใหญ่ ๆ อย่างในเชียงใหม่ ภูเก็ต ขอนแก่น ทั้งยังต้องใช้ขับไปทำงานทุกวัน ควรทำประกันชั้น 1 หรือ 2+ เอาไว้ เพื่อคุ้มครองความเสียหายจากการเกิดอุบัติเหตุต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการขับขี่ค่ะ
• ขับขี่ระยะทางไกลบ่อยครั้ง เช่น การขับรถเป็นระยะทางไกลเป็นประจำ ควรเลือกประกันที่มีความคุ้มครองครอบคลุมอย่างประกันชั้น 1 และพ่วงด้วยบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง เวลาเกิดอะไรจะได้โทรหาได้ทันทีค่ะ
• ใช้รถในการประกอบอาชีพ เช่น ขนส่งสินค้า หรือขนส่งพืชผลทางการเกษตร ควรเลือกประกันที่ครอบคลุมค่าเสียหายของทรัพย์สินภายในรถ หรือเลือกทำประกันสินค้าเพิ่มเติมไปด้วยค่ะ
• ไม่ค่อยได้ใช้รถ หากใครที่จอดรถทิ้งเอาไว้ ไม่ค่อยได้ใช้งาน และจอดในที่ที่ปลอดภัย ควรเลือกประกันชั้น 3 ซึ่งเป็นประกันรถยนต์ที่ประหยัดที่สุด

2. ประเมินความคุ้มครองที่ต้องการ

ประกันรถยนต์มีหลากหลายประเภทให้เลือกเลยนะคะ เราจะต้องเลือกให้ตรงกับความต้องการมากที่สุด

• ประกันชั้น 1 เป็นประกันที่มีความครอบคลุมมากที่สุด โดยคุ้มครองรถผู้เอาประกันทุกกรณี ทั้งรถชนรถ และสิ่งของ รวมถึงการมีหรือไม่มีคู่กรณีก็ตาม นอกจากนี้ยังคุ้มครองในกรณีรถหาย ไฟไหม้ น้ำท่วมอีกด้วย
• ประกันชั้น 2+ จะคุ้มครองเหมือนกับประกันชั้น 1 แต่จะแตกต่างตรงที่คุ้มครองรถผู้เอาประกันเฉพาะรถชนรถ และมีคู่กรณีเท่านั้น และไม่คุ้มครองเหตุน้ำท่วม
• ประกันชั้น 3+ คุ้มครองรถผู้เอาประกันเฉพาะรถชนรถ และมีคู่กรณีเท่านั้น นอกจากนี้ยังไม่คุ้มครองเหตุรถหาย ไฟไหม้ และน้ำท่วม
• ประกันชั้น 3 เป็นประกันที่มีความคุ้มครองน้อยที่สุด คือ คุ้มครองเฉพาะรถของคู่กรณีเท่านั้น แต่ก็มีราคาประหยัดที่สุดเช่นกันค่ะ

ตารางความคุ้มครองของประกันแต่ละประเภท

เลือกความคุ้มครองให้เหมาะกับการขับขี่

• ประกันชั้น 1 เหมาะสำหรับรถใหม่ที่มีอายุ 1-7 ปี รวมถึงผู้ที่เพิ่งหัดขับขี่ และผู้ที่ขับขี่ในเมืองเป็นประจำ นอกจากนี้ ยังเหมาะกับผู้ที่ต้องการความคุ้มครองสูงสุด เพื่อความอุ่นใจในการขับขี่
• ประกันชั้น 2+ เหมาะสำหรับรถที่มีอายุการใช้งาน 5-10 ปี ผู้ที่ใช้รถบ่อย ๆ และจอดในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการสูญหายหรือถูกโจรกรรม
• ประกันชั้น 3+ เหมาะสำหรับรถอายุมากกว่า 10 ปีขึ้นไปที่ยังใช้งานเป็นประจำ แต่ไม่ได้ใช้งานในเมืองใหญ่ ไม่มีความเสี่ยงในเรื่องรถหายหรือไฟไหม้
• ประกันชั้น 3 เหมาะสำหรับรถที่ใช้งานน้อย และต้องการประหยัดค่าเบี้ยประกัน รวมถึงขับขี่ในพื้นที่ที่การจราจรไม่หนาแน่น

สำหรับเพื่อน ๆ ที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยน้ำท่วม แต่ไม่อยากจ่ายประกันชั้น 1 ลองหาประกันชั้น 2+ ที่มีความคุ้มครองน้ำท่วม ก็ตอบโจทย์ความต้องการได้เช่นเดียวกันค่ะ

3. ตรวจสอบวงเงินความคุ้มครอง และทุนประกัน

เมื่อตัดสินใจเลือกได้แล้วว่าต้องการทำประกันรถยนต์ประเภทไหน มีความคุ้มครองเท่าไร สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือ การตรวจสอบวงเงินความคุ้มครองและทุนประกันว่าครอบคลุมค่าเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินหรือไม่ค่ะ และในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุใหญ่ ประกันจะจ่ายค่าสินไหมสูงสุดเท่าไร เพื่อนำไปใช้เป็นหลักในการพิจารณาประกันรถยนต์ที่ตรงกับความต้องการจริง ๆ นั่นเองค่ะ

4. เปรียบเทียบราคาและเงื่อนไขในการรับประกันต่าง ๆ

จากนั้นให้เพื่อน ๆ ลองเลือกบริษัทประกันที่ต้องการมาเปรียบเทียบราคาและเงื่อนไขอย่างน้อย 2-3 บริษัทก่อนการตัดสินใจนะคะ เพื่อเปรียบเทียบและเลือกสิ่งที่ดีที่สุดนั่นเองค่ะ

นอกจากนี้ ให้อ่านเงื่อนไขต่าง ๆ ให้ละเอียด ไม่ว่าจะเป็นการระบุคนขับหรือไม่ เงื่อนไขความคุ้มครองในกรณีต่าง ๆ โดยเฉพาะหากอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่น้ำท่วมบ่อย อาจต้องใส่ใจเงื่อนไขและสอบถามตัวแทนให้ละเอียดก่อนตัดสินใจ

5. ดูบริการเสริมและสิทธิพิเศษจากบริษัทประกันหรือโบรกเกอร์

นอกจากความคุ้มครองหลักแล้ว ลองดูบริการเสริมและสิทธิพิเศษที่บริษัทประกันและโบรกเกอร์มอบให้ด้วยนะคะ จะได้คุ้มยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น

• บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง เช่น การลากรถ หรือการซ่อมแซมรถในกรณีฉุกเฉิน
• ส่วนลดค่าเบี้ยประกัน ในกรณีที่ไม่มีการเคลมในปีที่ผ่าน
• ผ่อนชำระค่าเบี้ยประกัน 0% เพื่อลดภาระในการจ่ายเงินก้อนเต็มจำนวน

6. เลือกบริษัทประกันที่น่าเชื่อถือ

สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันในการทำประกันรถยนต์คือ การตรวจสอบความน่าเชื่อถือของบริษัทประกันเป็น ห้ามมองข้ามเป็นอันขาดนะคะ แม้ว่าบางครั้ง บริษัทประกันขนาดใหญ่จะมีเบี้ยประกันที่แพงกว่า แต่ก็มาพร้อมกับบริการที่ดีกว่า ดังนั้นก่อนที่จะเลือกซื้อควรพิจารณาสิ่งต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ค่ะ

• อ่านรีวิวจากผู้ใช้บริการจริง อาจลองสอบถามคนใกล้ตัว หรือถามคนในโซเชียลมีเดียหรือค้นหารีวิวใน Google
• ดูประวัติการดำเนินการ เช่น ระยะเวลาในการจ่ายค่าสินไหมทดแทน
• มีเครือข่ายอู่ซ่อมรถที่ได้มาตรฐาน มีบริการที่ดีเยี่ยม เพื่อลดปัญหาที่เกิดจากการซ่อม

7. การเคลมประกันยากง่ายแค่ไหน

ข้อสุดท้าย เป็นข้อที่มีความสำคัญก็คือ การเคลมประกันมีความยากง่ายมากน้อยเพียงใดนั่นเองค่ะ ไม่เช่นนั้นเราอาจจะต้องหงุดหงิดใจตอนที่ซ่อมรถได้นะคะ จึงควรเลือกบริษัทที่มีขั้นตอนการเคลมประกันที่ไม่ยุ่งยาก และมีเครือข่ายอู่ซ่อมที่อยู่ใกล้บ้าน รวมถึงมีช่องทางการติดต่อที่สะดวกสบายในหลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ แอปพลิเคชัน หรือเว็บไซต์

เงินเทอร์โบคัดมาให้ ซื้อประกันรถยนต์อุ่นใจ เคลมไว ไม่ยุ่งยาก

ซื้อประกันรถยนต์กับเงินเทอร์โบ หมดปัญหาเรื่องเคลมประกันไม่ได้และมีขั้นตอนที่ยุ่งยาก เราคัดบริษัทประกันชั้นนำของประเทศมาให้เลือกแล้วค่ะ

• ผ่อนสดทุกชั้น 0% นานสูงสุด 12 งวด ไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
• เริ่มต้นแค่หลักร้อยต่อเดือน
• คัดประกันรถที่ใช่ ถูกใจแน่นอน

*ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง
**ให้บริการโดยบริษัท เงินเทอร์โบ อินชัวรันซ์ โบรกเกอร์ จำกัด ซึ่งเป็นเพียงนายหน้าประกันวินาศภัยเท่านั้น รับประกันภัยโดย บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน), บริษัท ชับบ์สามัคคีประกันภัย จำกัด (มหาชน)